รถเสีย รถสตาร์ทไม่ติด 5 วิธีแรกควรทำ เมื่อเดินทางไกล

รถสตาร์ทไม่ติด นับเป็นหนึ่งปัญหาของคนขับรถมักเคยประสบพบเจอ โดยเฉพาะเมื่อจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ พอจะนำไปใช้เท่านั้น แจ๊คพอต! รถสตาร์ทไม่ติด! ชวนให้อารมณ์เสียสุด ๆ ยิ่งถ้ากำลังออกทริปเดินทางไกล หรือกำลังไปทำสำคัญด้วยแล้วล่ะก็ ต้องหาทางแก้ปัญหาเป็นการด่วน…รถเสีย รถสตาร์ทไม่ติด 5 วิธีแรกควรทำ เมื่อเดินทางไกล

ทำอย่างไร? เมื่อ รถสตาร์ทไม่ติด 

วิธีที่ 1 บิดกุญแจสตาร์ทรถ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

-หากทำการบิดกุญแจเพื่อเปิดเครื่องแล้วยังมีไฟหน้าปัดแสดงอยู่ แต่พอบิดสตาร์ทรถแล้วเครื่องยังเงียบ ให้เช็คดูว่ากำลังเข้าเกียร์อื่นทิ้งไว้นอกจากเกียร์ P หรือ N หรือไม่ เพราะหากเข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลังเอาไว้จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เพราะเป็นกลไกป้องกันไม่ให้รถเกิดอุบัติเหตุ หากตรวจสอบดูแล้วว่าเข้าเกียร์ไว้ที่ P หรือ N แต่รถยังสตาร์ทไม่ติด อาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ที่ส่งกำลังไฟไม่พอ หรือมีอุปกรณ์ต่อพ่วงกับแบตเตอรี่หลุดออก

-หากทำการบิดกุญแจสตาร์ทแล้วยังมีเสียงสตาร์ทแต่เครื่องยนต์ไม่ติด สาเหตุจะมาจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือมอเตอร์สตาร์ท (ไดสตาร์ท) ผิดปกติ กรณีที่รถยนต์จอดไว้แค่ข้ามคืนแต่กลับสตาร์ทไม่ติด ให้ลองเช็คดูว่าได้เปิดไฟในรถ หรือไฟหรี่ทิ้งไว้ทั้งคืนหรือไม่ เพราะถ้าเกิดจากสาเหตุนี้หมายความว่าแบตเตอรี่มีกำลังไฟอ่อน ส่วนกรณีที่รถจอดทิ้งไว้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนแล้วกลับมาสตาร์ทไม่ติด สาเหตุแรกที่ต้องสงสัยเลย คือ แบตเตอรี่หมดแล้ว 

-หากทำการบิดกุญแจสตาร์ทแล้วมีเสียงครืดคราด นั่นมาจากมอเตอร์สตาร์ทกำลังจะเสีย ควรนำรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนมอเตอร์สตาร์ทใหม่

วิธีที่ 2 พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น

หากทำการตรวจสอบรถยนต์แล้วมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดเป็นเพราะแบตเตอรี่หมดหรือเสื่อม สามารถแก้ไขได้ด้วยการพ่วงแบตกับรถคันอื่น 

ข้อแนะนำให้การพ่วงแบตที่ถูกต้อง มีดังนี้ 

1. เตรียมสายจั๊มแบตเตอรี่

สายจั๊มแบต จะมี 2 เส้น สีแดงคือประจุขั้วบวก ส่วนสีดำ (หรือสีเขียว) คือประจุขั้วลบ 

2. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด

เมื่อเตรียมสายพ่วงแบตและรถที่จะมาพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์แล้ว ให้จอดหันหน้าเข้าหารถที่แบตหมดพร้อมเว้นระยะห่างเล็กน้อยแล้ว จากนั้นปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด เช่น ไฟส่องสว่าง แอร์ เครื่องเสียง เพื่อป้องกันรถเกิดประกายไฟหรือการระเบิด

3. ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่

นำสายพ่วงสีแดงต่อเข้ากับขั้วบวกของรถคันที่แบตหมด จากนั้นนำปลายสายสีแดงอีกด้านต่อกับขั้วบวกของรถคันที่มาช่วย ส่วนสายสีดำให้พ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถคันที่มาช่วย และปลายสายอีกด้านที่เหลือให้หนีบโลหะในเครื่องยนต์ เมื่อต่อสายทั้งหมดได้แล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที

4. สตาร์ทเครื่องเพื่อชาร์จแบต

เริ่มพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยการสตาร์ทเครื่องรถคันที่มาช่วยทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที จากนั้นเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ ให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า ตามด้วยการสตาร์ตเครื่องรถคันที่แบตหมดและเร่งเครื่องเบา ๆ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที

5. ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่

ถอดสายขั้วลบของรถคันที่แบตหมดก่อน จากนั้นจึงถอดขั้วลบของรถคันที่มาช่วย ตามด้วยขั้วบวกของคันที่มาช่วยและปิดท้ายด้วยขั้วบวกของคันที่แบตหมด

วิธีที่ 3 ทำความสะอาดขั้วแบต

รถสตาร์ทไม่ติดอาจมีสาเหตุมาจาก ขั้วแบตเตอรี่สกปรก เนื่องจากการใช้รถโดยไม่ได้ดูแลรักษา แบตเตอรี่เก่าที่ใช้งานมานาน มักจะเกิดคราบขี้เกลือ (คราบสีขาว ๆ ปนฟ้าปนเขียว) เกาะอยู่ที่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ ทำให้กระแสไฟฟ้าส่งไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ไม่สะดวกทั่วถึงเท่าที่ควร และเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลติดขัด ก็ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

ปัญหาขั้วแบตเตอรี่สกปรก จัดการได้โดยการทำความสะอาดขั้วแบต ใช้น้ำโซดาและแปรงสีฟันค่อย ๆ ขัดออก ทาขั้วแบตเตอรี่ด้วยวาสลีนเพื่อป้องกันไม่ให้มีคราบขี้เกลือขึ้น เมื่อขั้วแบตเตอรี่กลับมาสะอาด ก็จะสามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น หมดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด

วิธีที่ 4 ซ่อมหรือเปลี่ยนไดชาร์จใหม่

กรณีแบตเตอรี่ไม่เสีย ไม่เสื่อม ใช้งานได้ตามปกติ แต่รถสตาร์ทไม่ติด อาจมีสาเหตุจากไดชาร์จมีปัญหา เนื่องจากไดชาร์จคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ และคอยสร้างกระแสไฟฟ้าในขณะที่รถยนต์ทำงาน เมื่อไดชาร์จเสื่อมก็ไม่สามารถจ่ายไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ จึงทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

ทั้งนี้ สามารถเช็คอาการไดชาร์จเสื่อมได้จากการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หลังจากที่สตาร์ทรถทิ้งไวแล้วซักพัก ซึ่งถ้าหากว่ารถกระตุกหรือดับ นั่นหมายถึงไดชาร์จรถยนต์เสื่อมแล้ว แนะนำให้เรียกรถลากมารับไปให้ที่อู่เพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนไดชาร์จใหม่

วิธีที่ 5 โทรขอความช่วยเหลือ หรือโทรแจ้งหน่วยงานต่าง ๆ

-โทรเข้า จ.ส. 100 ที่เบอร์ 1137 (เสียค่าบริการ) และ *1808 (ฟรีทุกเครือข่าย) เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องการพ่วงแบตเตอรี่จากแท็กซี่อาสาฯ ได้

-โทรเรียกบริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากบริษัทประกันรถยนต์ที่เราใช้บริการอยู่ได้ หรือถ้าไม่มีให้โทรเรียกใช้บริการจากอู่ซ่อมรถ ร้านขายแบตเตอรี่ หรือศูนย์บริการรถยนต์ ตามสะดวก

เพื่อป้องกันและลดโอกาสที่จะเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด แนะนำให้ใช้รถอย่างสม่ำเสมอ และดูแลตรวจเช็คบำรุงรักษารถตามระยะทางอย่างเหมาะสม เช่น เข้าเช็คระยะทุกปี หรือทุก 10,000 กิโลเมตร ควรเช็ครถยนต์ และหากมีปัญหาฉุกเฉินเกี่ยวกับรถยนต์ ถ้ามีประกันรถยนต์ชั้น 1 บางบริษัทประกันรถยนต์ ก็สามารถสอบถามขอความช่วยเหลือได้ด้วยนะ

สอบถาม